คุณอยู่ที่

บทที่ 19 พักผ่อน ตอนที่ 2

เขียนโดย nuttapol เมื่อ อาทิตย์, 11/27/2022 - 09:06
Share

หมวดเนื้อหา:

แม้ว่าโลกจะเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ ทว่าบริเวณที่ห่างไกลออกไป กับเป็นรุ่งเช้าที่แสนสดใส ท้องนภาที่เต็มไปด้วยปักษากำลังบินราวกับจะแข่งขันว่าผู้ใดจะบินได้รวดเร็ว
ณบ้านหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่โดดเดี่ยว ใบหญ้าเขียวขจีสะบัดพริ้วตามสายลมบรรยากาศเช่นนี้หากผู้ใดได้อยู่คงไม่อยากเคลื่อนร่างกายออกไปไหนเป็นแน่
บุรุษหนุ่มทั้ง 3 นั่งจิบชาพลางจ้องมองลูกแก้วทั้ง 3 ลูกที่กำลังฉายภาพต่างสถานที่กัน
ชายหนุ่มสวมหน้ากากสีดำยิ้มก่อนที่จะกล่าวกับชายทั้งสอง “ไม่เร็วเลยใช่ไหมล่ะลูกของข้า “
หบุรุษหนุ่มท่าทางใจดีประวัติดวงตาใสกระจ่างเรากับน้ำทะเลมองไปยังชายอีกคน ที่มีท่าทางไม่พอใจก่อนที่จะหันขวับมาจ้องชายหนุ่มที่มีท่าทางอารมณ์ดี
“เจ้าจะคิดมากไปทำไมอย่างไรเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้วไมิใช่หรือ แล้วอีกอย่างหนึ่งการที่เจ้าให้ลูกศิษย์ของเจ้าไปปั่นป่วนทำลายอาณาเขตที่พวกเราอุตส่าห์สร้างขึ้นเรื่องนี้จะว่าอย่างไร”
สิ้นคำกล่าวของชายท่าทางใจดี บุรุษหนุ่มก็ยิ้ม ก่อนที่จะยักไหล่ อย่างไม่ใส่ใจ “แล้วมันจะทำไมการที่ข้าจะทำอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าอีกอย่างหนึ่งทำไมเจ้าต้องเรียกค่ากลับมาที่โลกใบนี้ แถมยังไม่ให้ค่ากลับไปยังโลกเดิม”
ชายหนุ่มที่มีท่าทางไม่พอใจทุบโต๊ะอย่างแรงจนน้ำชาในแก้วกระฉอก “ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้ฉายาว่าเป็นผู้ทำลายแต่ว่ามันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะทำอะไรตามใจชอบเช่นนี้”
ท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจของชายสวมหน้ากากทำให้เขาจัดฟันแล้วตะโกนขึ้น “เจ้าจำไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือว่าพวกเรานั่งทำอะไรกันลงไปบ้างเพื่อที่จะให้โลกใบนี้นั้นมันสงบสุข พวกเราต้องสร้างอาณาเขตขนาดใหญ่เพื่อป้องกันสามเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะรบราฆ่าฟันกันจนตาย พวกเราต้องสูญเสียเด็กๆไปมากมายเท่าใด จนพวกเราได้รับฉายาว่าสามวีรบุรุษ “
“ฉายาอย่างนั้นหรือ “
เขาหยุดก่อนที่จะจิบชาในแก้วรวดเดียวหมดก่อนที่จะวางแก้วอย่างแรงแล้วกล่าวด้วยความอัดอั้นตันใจ “ฉายาพันธุ์นี้นับเป็นอย่างไรถ้าต้องการจะะทำอะไรข้าก็ต้องได้ทำนี่ต่างหากคือการใช้ชีวิตของข้า ไม่สนใจหรอกว่าแกจะคิดเห็นตรงกับข้าหรือไม่”
ชายหนุ่มหยิบหน้ากากสีดำทมิฬมาสวมทับใบหน้าของตนเองอีกครั้ง “หากข้าต้องการจะทำสิ่งใดข้าต้องได้ทำ ต่อให้โลกใบนั้นมันจะต้องสลายหายไปก็ตาม”
สิ้นคำกล่าวชายหนุ่มท่าทางใจดี พลันดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “อย่าทำตัวโอหังให้มากนัก ความโอหังของเจ้าทำให้ข้าเริ่มทนไม่ไหว”
“แล้วมันจะทำไม”
“ข้าเคยบอกแล้วว่านับตั้งแต่บัดนี้พวกเราจะไม่วุ่นวายกับเรื่องของเจ้าหนูพวกนั้นอีก ถึงแม้พวกเราจะต้องอยู่แต่ที่นี่ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“หักค่าปฏิเสธเล่า” บุรุษหน้ากากทมิฬกาวก่อนที่จะค่อยๆปลดปล่อยพลังและจิตสังหาร มิติเริ่มเกิดรอยแยกอีกครั้ง
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องสังหารเจ้าทิ้งซะ แม้ว่าพวกเราจะไม่อยากทำก็ตามที”
บุรุษหนุ่มหน้ากากทมิฬยิ้มเย้ยหยันกับคำกล่าว เขาก็ค่อยสะบัดมืออย่างเชื่องช้าก่อนที่ใบดาบสีดำทมิฬจะโผล่ขึ้น “ย่อมได้เพราะว่ามันคงจะเป็นพวกเจ้าเองเสียมากกว่าที่ต้องฝังร่างอยู่ในมิติแห่งนี้”
“อย่าคิดว่าตนเก่งเหนือพวกข้า เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังพวกข้าทั้งสองเป็นใคร” ชายที่ดูท่าทางโกรธเกรี้ยวเปล่าก่อนที่จะดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้
“ข้าคงลืมไปแล้วจริงๆแล้วพวกเจ้าเป็นใครกันเล่า ถ้าข้ายังจำไม่ผิดหนึ่งนั้นเคยเป็นอดีตราชาส่วนอีกหนึ่งนั้นเคยเป็นอดีตผู้ใช้เวทรักษาและยาพิษที่แข็งแกร่งที่สุดมิใช่หรือ”
ชายหนุ่มกล่าวก่อนที่จะชี้มายังตนเอง “มิได้เหมือนกับข้า เป็นเพียงแค่คุณสามานย์เท่านั้น ผู้ล้มล้างราชวงศ์ของเจ้า” เขานำนิ้วชี้ไปยังชายหนุ่มที่มีท่าทางโกรธเกรี้ยว
หลังจากนั้นเขาก็นำนิ้วชี้ไปยังบุรุษหนุ่มที่มีท่าทางใจดี “ส่วนเจ้าหากถ้าจำไม่ผิด ข้าเองที่เป็นคนสังขารอดีตคนรักคงเศร้าทั้งเพื่อนพ้องและหมู่บ้านของเจ้า เป็นผู้สังหารเผ่าพันธุ์ของเจ้าจนเกือบที่จะสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์มังกรที่คิดว่าตนนั้นเหนือกว่าเทพเจ้า ทั้ง เผ่าพันธุ์ที่เรียกตนเองว่าเอวและดาร์คเอลฟ์ รวมทั้งเผ่าที่เรียกตนเองว่ามนุษย์ครึ่งสัตว์ล้วนต้องเกือบสูญสิ้นเพราะน้ำมือของข้าเพียงผู้เดียว”
“เจ้า” ชายหนุ่มที่มีท่าทางโกรธเกรี้ยวตะโกนลั่นพร้อมกับเรียกดาบโลหิตขึ้นมาถือบนมือ
“จะรีบร้อนไปใย ไหนๆได้รำลึกความหลังแล้วทั้งทีให้ข้าได้เสวนาผ่ำพิลี้พิไล หน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า”
เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนที่จะจ้องมองชายทั้งสองที่ยืนทำท่าทางเรากับจะกินเลือดกินเนื้อ ”ไหนๆหลังจากนี้พวกเจ้าก็จะไม่ได้ฟังสิ่งที่คาดพูดอีกแล้ว ข้ามีเรื่องจะบอกให้พวกเจ้ารู้”
ชายหนุ่มหยุด ก่อนที่จะปักดาบลงพื้น “คนที่เป็นคนทำลายห้วงเวลานั่นก็เป็นตัวของข้า ผู้ที่เป็นคนชักนำให้ชาวต่างมิติสามารถเดินทางข้ามมิติ และล่วงรู้ถึงพลังทั้งสามสายก็คือข้า คนที่เปิดประตูเวลานั่นก็เป็นลูกศิษย์ของข้า”
“เจ้านึกว่าพวกข้าไม่รู้อย่างงั้นหรอ เรื่องแค่นี้พวกข้ารู้ดีอยู่แล้ว แต่ว่าหากค่าสังหารเจ้าสมดุลของโลกใบนี้จะเสียหาย ดังนั้นพวกข้าจึงไม่สังหารเจ้าอย่างไรล่ะ “ บุรุษท่าทางใจดีกล่าวอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะโบกมือห้ามการปะทะของชายทั้งสอง ชายหนุ่มที่ถือดาบสีแดง กล่าว
“แล้วอีกอย่างพวกเจ้าคงลืมไปแล้ว ต่อให้พวกเจ้าจะสังหารกันจนสิ้นชีพ ทว่าว่าด้วยคำสาปของอดีตมหาเทพและอดีตมหาจอมมาร ต่อให้พวกเราจะตายสักกี่ครั้งก็ต้องคืนชีพมายังที่แห่งนี้อยู่ดีไมิใช่หรือ” ชายที่ดูท่าทางใจดีกล่าวสำทับ
สิ้นคำกล่าวของชายหนุ่มบุรุษทั้งสองก็จ้องมายังชายที่ดูท่าทางปราดเปรื่องที่สุดในกลุ่ม ” ดังนั้นแล้วพวกเจ้าจะทำไปทำไมกันเล่า สิ่งที่ข้าต้องการก็คือไม่ให้เจ้าทั้งสองไปยุ่งกับโลกอีกครั้งต่างหาก เรื่องร้ายๆที่มันเคยเกิดขึ้น ก็ขอให้มันจบลงที่รุ่นของเรา”
สิ้นคำกล่าวหบุรุษหนุ่มก็กำดาบในมือจนแน่น เขาถอดหน้ากากสีดำทมิฬก่อนที่จะปามันลงพื้น ดวงตาที่แดงก่ำแสดงให้เห็นถึงความแค้นและความอัดอั้นตันใจเขาตะโกนเสียงดังลั่น
“พวกเจ้าช่างกล้าพูดเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดียวกับข้าสักหน่อย หากพวกเจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกวันนี้หากข้าไม่ได้ฆ่าพวกเจ้าก็อย่าถือว่าข้าเป็นผู้ทำลาย”
คำกล่าวของเขาทำให้ฟ้าดินล้วนต้องสั่นไหว แค่พริบตาจิตสังหารพลันแผ่ทะลักออกมาจากตัว พลังเวทย์มหาศาลค่อยๆคลานออกมาจากร่างกาย
ท่าทางของชายตรงหน้าทำให้บุรุษทั้งสองคนอดที่จะเสียวสันหลังมิได้ หากเที่ยบกันแล้วพลังทำลายพวกเขารึจะสู้ชายเบื้องหน้าได้ หากเทียบความฉลาดพวกเขาอาจจะสามารถ หากเทียบพลังการรักษาพวกเขาอาจจะสามารถ
ทว่าพลังทำลายและการต่อสู้พวกเขาทั้งสองมิอาจเทียบแม้แต่ 1ส่วน ต่อให้พวกเขาผนึกพลังทั้งหมดแล้วโจมตีพร้อมกัน ใช้ทั้ง 2 อาจะสามารถสยบบุรุษเบื้องหน้าได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นมันก็คงได้แค่เพียงไม่นาน
“ใจเย็นๆก่อนดีกว่า เรื่องแบบนี้พวกเราค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้” ชายหนุ่มท่าทางใจดีกล่า
ทว่าชายคนนั้นกลับไม่ได้มีท่าทางเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขารู้ดีว่าท่าทางธงชัยตรงหน้านั้นคงไม่สามารถสยบได้ด้วยความพูดเพียงคำหรือ 2 คำ “พูดให้ตายเจ้าหนี้มันก็พูดไม่รู้เรื่องหรอกมันต้องใช้พลังสยบเท่านั้น”
เขาเรียกดาบสีแดงดุจโลหิตขึ้นมาพร้อมกับสะบัดเข้าใส่ชายเบื้องหน้าก่อนที่จะหันมายังชายที่ท่าทางใจดีที่สุดในกลุ่ม “หากพวกเราร่วมมือกันคงไม่เกินความสามารถ”
“ย่อมได้” บุรุษหนุ่มสะบัดดาบสีดำทมิฬเข้าใส่ดาบสีแดงฉานดุจโลหิตเสียงดังกังวานกึกกล้อง
พลังสภาวะดาบทั้งสองปะทะรวดเร็วรุนแรง หมู่ปักษาที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าล้วนแต่ฮือ พวกมันสมัครฟรีราวกับว่าต้องรีบหนีให้พ้นไปจากอาณาบริเวณนี้ อาณาเขตรอบๆเริ่มสั่นไหว
ชายหนุ่มถือดาบดำทมิฬก่อนที่จะระเบิดพลังเวทย์ทั้งหมดที่มี เขาเรียกดาบสีขาวขึ้นมาแล้วใช้มือขวาจับอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้ดาบสีดำฟันใส่ดาบสีแดง แล้วสวยดาบสีขาวแทนใส่ทรวงอกของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า
แต่ทว่าถ่ายตรงหน้ากับสามารถลบได้เขาสะบัดดาบสีแดงทันใดนั้นเองพลังสภาวะดาบก็ตัดผ่าอากาศ เกิดรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นรอบๆตัวของบุรุษหนุ่ม “จงรับไปดาบสะบั้นโลหิต”
สิ้นคำ เลือดสีแดงฉานก็ค่อยๆไหลออกมาจากร่างกายของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า พม่า ไอสีขาวนวลของดาบสีขาวบริสุทธิ์ พุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างกาย บาดแผลที่โดนดาบสะบั้นโลหิต ทำร้ายค่อยๆหาอย่าง ช้า ๆ

“หยุดได้แล้ว หยุด ไม่งั้นนมิตินี้อาจจะพังทลายก็เป็นได้”
เสียงข้าง ๆ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหยุดมือในทันที เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อ
“มันไม่ใช่มิตินี้มิติเดียวที่จะได้รับความเสียหายถ้าพวกเราสู้กันจริงๆ นิติฯอาจจะต้องได้รับความเสียหายไปด้วย”
เสียงของเขาทำให้การต่อสู้หยุดชะงักชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงกล่าวอย่างไม่หยุดผัก “อีกอย่างโลกที่พวกเราทั้งสามคนพยายามปกป้อง ต้องสูญสลายไปเลยนะ คิดว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ”
“แล้วเรื่องที่พวกเจ้าต้องการข้าหาวิธีทำสิ่งนั้นได้เรียบร้อยแล้ว
หากพวกเจ้าทั้งสองคนยังร่วมมือกันอยู่ มันก็ยังมีโอกาสที่จะประสบผล หากพวกเจ้าต้องการสังหารผานชีวิต มันคงไม่มีทางประสบผลเป็นแน่”
ชายหนุ่มท่าทางดุร้ายเก็บดาบโลหิตก่อนที่จะเอ่ย “จริงรึ เจ้าสามารถทำสิ่งนั้นได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
“ค่าทดลองหลายครั้งแล้ว ทว่าครั้งนี้มันมีโอกาสประสบผล หาค่าคำนวณดูคร่าวๆนั้นมันมีโอกาสประสบผลถึง 30% ผู้เช่าทั้งสองคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่”
บุรุษท่าทางใจดี หยุดก่อนที่จะมองท่าทางของชายทั้งสองที่รับฟัง “ดังนั้นแล้วหากพวกเจ้าทั้งสองให้เวลาค่า ข้าก็มั่นใจว่ามันต้องประสบผล หากไม่แล้วพวกเจ้า ฆ่ากันไปฆ่ากันมาเช่นนี้ ต่อให้ค่าจะพยายามทำอีก 300 ปีก็ไม่มีทางสำเร็จ”

เมื่อชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้ตอบโต้ชายท่าทางใจดีก็ยิ้มอย่างพึงใจ
ตัดมาทางฝั่งของพวกอะคา
พลังมหาศาลที่ส่ง ผ่ามิติทำให้พวกเขาทั้งหมดล้วนต้องกลืนน้ำลายลงค
“ไม่คิดเลยว่าการดนตรีจะเกิดพร้อมกันทั้งสองฝั่ง แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่” ชายหนุ่มผมแดงมองเป็นเชิงถามความคิดกับกลุ่มคนที่ทำหน้าปั้นยาก
เมเปิ้ลมองท้องฟ้าที่เกิดรอยแยก ประกอบกับแผ่นดินที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้รับผลกระทบคำว่าพวกชาวบ้านนั้นกลับตรงกันข้าม เรื่องเหนือธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นทำให้ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนหวาดหวั่น แม้ว่าคาราโอเกะที่หญิงสาวได้ใช้ปกคลุมหมู่บ้านจะไม่ทำให้แผ่นดินในหมู่บ้านสั่นไหวมากนัก
“พร้อมกันเลยอย่างนั้นหรอถ้าเป็นแบบนี้พวกเผ่าเทพและมาร คงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกสักพัก ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็เข้ากำหนดที่พวกเด็กๆจะสามารถฝึกฝนและพัฒนาฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้นได้สินะ”
“เจ้าจะพูดเช่นนั้นมันก็ไม่ได้ถูกต้องนัก หากพิจารณาดูดีๆแล้วแม้ว่าฝีมือของพวกเจ้าหนูจะพัฒนาได้รวดเร็วสักปานใด เพราะว่ามันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะเทียบเทียมกับเผ่าเทพและปีศาจ พูดให้ถูกจะเทียบเทียมกับเหล่าผู้กล้าและนักผจญภัยที่มีระดับสูงๆของโลกใบนี้ก็ยังคงจะยาก” คารอสพูดอย่างหนักใจ
“ประสบการณ์ใช่ไหมล่ะครับที่เป็นเรื่อง ที่มีความสำคัญที่สุดในการฝึกฝน แล้วผมว่าพี่ประเมินความสามารถของเด็ก ๆ ต่ำไปหรือเปล่าครับ จากที่ผมได้ฝึกให้กับวิน และจีด้าทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเด็กทั้งสองคนนี้มีฝีไม้ลายมือไม่ใช่ธรรมดา ตอนเรียนรู้รวดเร็วพัฒนาฝีมือได้ทันท่วงทีโดยเฉพาะวิน”
แฟนท่อมคิดก่อนที่จะกล่าวอย่างมั่นใจ “ฝีมือของเด็กคนนี้มันเกินความสามารถและการคาดเดาของผมลองคิดดูดีๆสิครับแค่เด็กนี่ใช้พลังเวทย์กับพลังลมปราณได้ยังไม่คล่องยังมีฝีมือขนาดนี้”
ชายหนุ่มค่อยๆถลกแขนเสื้อเผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดไม่ใหญ่มากนัก ทุกสายตาล้วงจับจ้องแล้วเบิกผมอย่างตกตะลึง “นี่เป็นรอยแผล ที่วินนฝากไว้ให้ผม เมื่อ 1 เดือนที่แล้วก่อนที่พวกเราจะหยุดฝึกฝน”
“1 คนหรือจะสามารถพิชิตทั้งกองทัพ เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญที่ข้าต้องการจะกล่าว”
“พวกหนูไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก อย่างที่ฉันได้บอกไปหาเขาเทพและมารบุกเข้ามาเราค่อยโจมตี แต่ถ้าเป็นพวกต่ำไม่ติดมันจะเป็นหน้าที่ของเด็กๆในยุคนี้” อะคาย้ำอีกครั้ง
ฮารุกะตัดสินใจเรียกไม้เท้าสีขาวออกมา บนหัวไม้เท้าสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรสวยงาม มหาศาลค่อยๆทะลักออกมาจากร่าง
“ข้าขออัญเชิญเทวาแห่งพสุธา ข้าขออัญเชิญเทวาแห่งท้องนภา ขอให้ทุกท่านส่งมาสำรวจอาณาเขตรอบบ้านแห่งนี้ให้ข้าด้วยเถิด” เป็นคำกล่าวแผนผังทั้งหมดปรากฏขึ้นตรงหน้าของหญิงสาว ทำให้ทุกสายตาต้องจ้องมองสภาพรอบ ๆ
“นิติไม่ได้เกิดความเสียหาย แต่ว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือพลังทำลายของพวกนี้มันส่งผลถึงธรรมชาติรอบๆ ดังนั้นแล้วแสดงว่าอาณาเขตที่ปกป้อง โลกนี้อยู่ยังไม่ได้ถูกทำลาย ที่เหลือก็แค่ฟื้นฟูให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมสงสัยพวกเราต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อฟื้นฟูมัน ไม่งั้นคืนเจออีกรอบ มีหวังพังแน่ๆ”
เมเปิ้ลถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่จะกล่าวอย่างปลงกับชะตาชีวิต “อีกแล้วอย่างงั้นหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิเพราะว่าหน้าที่ในกาอุดรอยรั่วมิติกับอาณาเขตมันเป็นหน้าที่ของเจ้าตั้งแต่แรก” คารอสหันมาทำหน้าสบายๆสำหรับเขามันไม่ใช่ความรับผิดชอบโดยตรงทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวนัก แต่ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วเขาก็คงต้องไปคุ้มกันหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับพวกอะคาสักหน่อย

“เอาล่ะเตรียมตัวให้พร้อมหลังจากวันพรุ่งนี้เราจะไปอุดรอยรั่วมิติทั้งหมดกัน” อะคาสั่งเรียบๆก่อนที่ชายหนุ่มผมแดงจะละสายตาออกจากท้องฟ้าเขาก็ค่อยๆหันไปมองยังชายหนุ่มทั้ง 2 ที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“เอาล่ะพวกเราเตรียมตัวไปซ้อมมือดีกว่า”
การผนึกมิติจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์อันมหาศาล ทุกครั้งที่ทำการผลิตรอยร้าวของมิติจะหายไปแต่ผู้ผลิตจะต้องสูญเสียพลังเป็นจำนวนมากผู้ที่สามารถผนึกมิติได้นั้นมีอยู่แค่ 4 คนในโลกใบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเทพจิ้งจอก เมเปิ้ล ผู้ที่ได้รับพรและคำสาปจากอดีต
“ไปกินข้าวดีกว่าค่ะพี่พรุ่งนี้พวกเรายังต้องไปทำงานต่อ” เสียงของฮารุกะ ทำให้เมเปิ้ล หันมามองแล้วเดินไปพร้อมกับเธอ
‘อะไรที่เราทำได้ก็ได้ทำไปเรียบร้อยแล้วที่เหลือก็แล้วแต่สวรรค์จะนำพาก็แล้วกัน’