คุณอยู่ที่

บทที่ 18 ผู้อหังการ ตอนที่ 4

เขียนโดย nuttapol เมื่อ อาทิตย์, 11/27/2022 - 08:58
Share

หมวดเนื้อหา:

ท่าทางของอะคาทำให้คารอสยิ้มพลางคำนึงในใจ ‘ยังไงพวกมันก็ต้องมาอยู่แล้วต่อให้จะหลีกเลี่ยงสักแค่ไหนก็ตาม แล้วอีกอย่างคนที่ไปหาเรื่องคงจะเป็นฝั่งเรามากกว่า สงครามครั้งนี้คงจะสนุกแน่ๆ”
ฮารุกะมองไปยังหน้าต่าง เราเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุขต้นไม้ใบหญ้าที่บวก 10 บาทตามแรงลมหล่อนทอดถอนใจ ด้วยความอาลัยกับสิ่งที่ต้องเห็น ความสงบสุขเช่นนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานอย่างไรก็ตามหล่อนก็รู้ดีว่าตนเองนั้นต้องการรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้มากแค่ไหน เพราะว่าโลกใบนี้กลับไม่เคยเว้นว่างจากสงคราม ฮารุกะถอนสายตาออกจากภาพเบื้องหน้าก่อนที่จะจ้องสามีของตน
“แต่ว่าข้อตกลงของฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมนะเรื่องของเด็กทั้ง 3 คนฉันจะไม่มีทางเปิดเผยให้ใครรู้เป็นอันขาด นอกจากพวกเรา”
อะคาพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้วเรื่องนี้ต่อให้ฉันจะต้องตายก็จะไม่มีทางให้ใครได้รู้เด็ดขาด”
“ผมรู้ดีว่าพวกมันจะไม่ยอมอยู่เฉยเด็ดขาด “ แฟนท่อมกล่าวด้วยท่าทางเคร่งเครียด
คารอสยกยิ้ม “ถึงเวลานั้นก็คงต้องทำอย่างที่เจ้าอะคาบอก ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือรักฝีมือแล้วรอเวลาถ้าถึงเวลาพวกเราจะได้ไม่ต้องตายง่าย ๆ “ สิ้นเสียงเขาก็ลุกออกจากโต๊ะเก้าอี้พร้อมบิดขี้เกียจ แล้วหันไปมอง อะคา
“ได้วันนี้พวกเราคงต้องประลองกันสักหน่อย”

หัวหน้าของชาวต่างมิตินั่งคิดคำนึงกับตนเองอยู่ในใจพลางมองท่าทางของลูกน้องที่เร่งรีบเตรียมอุปกรณ์การรบ เขารู้ดี What ทั้งพลังทรัพยากรอำนาจนั้นล้วนห่างไกล อย่างไรก็ตามคนที่ประมาทย่อมพบกับจุดจบ ‘เหมือนกับแกยังไงล่ะ สิ่งที่แกแย่งจากพวกเราไปครั้งนี้ฉันจะขอมันกลับมาบ้าง’
“ตอนนี้พวกเราพร้อมแล้วค่ะหัวหน้า”
เสียงของหญิงสาวที่มีใบหูนั้นคล้ายกับกระต่ายทำให้ชายหนุ่มหยุดการคิด เขากวาดมองกองทัพขนาดเล็กของตนทางยิ้มในใจในที่สุดเขาก็สามารถทำได้เรื่องการยึดโลกนี้คงไม่ยากเกินความสามารถเท่าใดนัก เขานั่งคำนวณตั้งแต่เช้าจดเย็นทำให้เขาพบว่าการลงมือครั้งนี้มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดถ้าหากทำสำเร็จมันก็สามารถเป็นตัวบ่งชี้ว่าเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าเทพและเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าปีศาจในโลกใบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา
หรือต่อให้ล้มเหลวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าครั้งหน้าเขาต้องเตรียมตัว กองทัพ และวิธีการรบอย่างไร ความจริงแล้วชายหนุ่มอยากจะใช้สิ่งนั้นคำว่าสำหรับตอนนี้มันยังเร็วเกินไป
ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นไปบนฟ้าเรากลับต้องการไขว่คว้าดาวและโลกนี้เข้าไว้ในกำมือความต้องการของเขานั้นมันต้องสำเร็จ ตั้งแต่ชายหนุ่มเกิดมายังไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่สามารถทำได้ ตั้งแต่การสอบได้ที่ 1 ทุกครั้งจนไปถึงการค้นพบโลกใบนี้การทำให้ชายนิรนามสามารถใช้พลังเวทและปราณ โดยที่ร่างกายและจิตใจไม่ได้รับความเสียหาย ‘ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีพลังแบบพวกแก แต่ว่าพลังที่ฉันมีนั้นมันเหนือกว่าพวกแกเยอะ มันคือพลังในการพยากรณ์ เป็นพลังแห่งการหยั่งรู้ คนที่มีข้อมูลเยอะที่สุดย่อมเป็นผู้ชนะดุจดังคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’
ชายหนุ่มยิ้มขึ้นที่มุมปากพร้อมกับหัวเราะในใจ ‘ดังนั้นวันที่ฉันได้พลังนี้มาพวกแกก็ไม่มีทางชนะฉันได้อีกแล้ว นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างฉันกับแก’
เขาคิดถึงใบหน้าของอดีตสหายที่มีท่าทางมั่นใจ ก่อนที่จะยิ้มเยาะอยู่ในใจ ครั้งหน้าคงเป็นวาระสุดท้ายของชายหนุ่มนัยน์ตาหดุจโลหิตถ้ามันได้เจอกับเขาอีกครั้งเร็วๆนี้
เขาหันมองกองทัพของตนเองแม้ว่าตอนนี้กองทัพจะลดลงไป 1 ส่วนทว่ามันกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก ชายหนุ่มเริ่มกล่าว “เอาล่ะทุกคนการต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายชนะ”
เสียงร้องรับของลูกน้องทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจ” ไม่จำเป็นต้องฆ่าเผ่าเทพแล้วไม่ต้องมาถามตรงๆให้โจมตีในรูปแบบของกองโจรแล้วแย่งชิงอาวุธทรัพยากรและเครื่องมือของพวกมันมาให้ได้มากที่สุดนี่คือเป้าหมาย อย่าให้ใครเห็นหน้าพวกเราพยายามเผาบ้านเมืองของพวกมันทำตามนี้ “
“การรบในครั้งนี้ฉันจะแบ่งหน่วยย่อยออกเป็น 10 หน่วย”
ชายหนุ่มหยุดพลางมองดูลูกน้องของตนที่กำลังรับฟังอย่างตั้งใจ “หัวหน้าหน่วยคนที่ควบคุมการโจมตีระยะไกลคือฟ้า ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเพชฌฆาตสีน้ำเงิน”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวร่างกายเพรียวระหงค่อยๆก้าวเท้าออกมาอย่างมั่นใจ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่เริ่มมีท่าทีไม่พอใจนักที่ให้คนทำภารกิจผิดพลาดกลับมาเป็นหัวหน้าหน่วยได้ เขาค่อยๆบอกรายชื่อคนต่อๆไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นทุกคนก็เข้าประจำหน่วยของตนเอง
“เอาล่ะทำตามแผน”
บุรุษหนุ่มชูแหวนวงสีดำทมิฬใจกลางมีนิลเม็ดงาม สาดส่องรับกับแสงอาทิตย์ยามอัสดง เขาอดคิดไปถึงวันที่ได้เจ้าสิ่งนี้ครั้งแรกไม่ได้ สิ่งนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นำพาเขามายังโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่สามารถพาผ่านได้ทุกมิติ ทว่ายิ่งใช้แหวนวงนี้มากเท่าไร ชายหนุ่มก็ต้องเสียพลังแห่งการหยั่งรู้ไปมากเท่านั้น เช่นนี้เขาจึงไม่อยากที่จะใช้มัน
‘ความแค้นครั้งนี้ ฉันจะขอฝากแกไว้ก่อน”
ช่องว่างมิติได้ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับชาวต่างมิติที่สาวเท้าเข้าไปในช่องว่างอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพวกเขาก็โผล่ยังชายป่าที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด ทุกคนล้วนต้องต้องมองกับภาพอันงดงามเบื้องหน้า มวนปักษาที่บินราวกับว่ามิมีสิ่งใดให้ต้องกังวลพวกมันคงไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้ได้มีศัตรูเข้ามาถึงดินแดนของพวกมันแล้ว เราอาชาที่ไร้ซึ่งเจ้าของตะบึงฝีเท้าผ่านร่างของชาวต่างมิติดุจสายฟ้า
“ช่างเป็นดินแดนที่สวยงามจริงๆ” หัวหน้าของชาวต่างมิติกล่าวรำพึงรำพันกับตนเองเบาๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะมาเหยียบยังดินแดนแห่งนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนร่างออกจากจุดที่เขายืนอยู่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นรอบๆ

ตัดมาทางบุรุษหนุ่มปริศนา
เขาก็ค่อยๆก้าวเท้าออกจากช่องว่างไม่ติดตรงหน้าของเขาเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังนั่งปรึกษาบางอย่าง ชายหนุ่มนัยน์ตาสีแดงเพลิงกวาดมองสถานที่อันคุ้นเคยที่ไม่ได้กลับมานาน “ยังเป็นที่ที่เหม็นเน่าเหมือนเดิมเลยนะ ช่างไร้อารยธรรมเสียจริงๆ” แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะคล้ายคลึงกับพื้นโลกเบื้องบนแต่หากมองดูดีดีแล้วมันคือพื้นโลกเบื้องล่าง ที่ซึ่งไร้แสงอาทิตย์และเต็มไปด้วยเหล่าปีศาจที่ถูกขับไล่จากมนุษย์เบื้องบน
“แหมๆ ไม่คิดหรือว่าพอฉันก้าวเท้ามาพวกแกก็จะมาเตรียมต้อนรับฉันจะอบอุ่นขนาดนี้”
ชายหนุ่มกวาดมองผู้คนบ้านก็มีหูคล้ายกับสัตว์ป่า บ้านก็มีดวงตาคล้ายกับค้างคาว เดิมทีแล้วพวกเขาเคยถูกเรียกว่ากลุ่มมนุษย์ครึ่งสัตว์
“จะไม่ให้มาต้อนรับได้ยังไงอุตส่าห์ลงมาที่นี่เองเลยไม่ใช่หรือไง นอกจากพวกที่เหนือกฎเกณฑ์กับชาวต่างมิติมันยังจะมีใครสามารถฝากอาณาเขตที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมาได้ เขาไม่ใช่เพราะว่าผู้สร้างผู้รักษาและผู้ทำลายตั้งใจให้เป็นแบบนี้แล้วเราก็คงไม่สามารถทำได้ง่ายขนาดนี้หรอก”
ชายหนุ่มในตาดำดูดรัตติกาลกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“มีแต่คนคุ้นเคยทั้งนั้นเลยนะพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ หรือว่ากำลังประชุมเรื่องโจมตีโลกเบื้องบนอยู่ ไม่สิขั้นตอนแรกก็คงต้องทำลายอาณาเขตอันน่ารำคาญที่กักขังพวกแกไว้ก่อนสินะ “
ใช่หนุ่มนัยน์ตาดุจโลหิตคาดการณ์ราวกับว่ารู้ทุกสิ่งอย่าง เขาเหลือบมองสายตาของผู้ที่กำลังนั่งมองตนเองบ้างก็มีท่าทางตกตะลึง บ้างก็ไม่ได้แปลกใจ บ้านก็ยิ้มแย้ม
“ไม่ได้กลับมาดินแดนเกิดนานพูดจ้อเลยนะจ๊ะหนูนิก ไม่สิหรือว่าจะให้กล่าวนามที่ใช้บนโลกเบื้องบนดี” หญิงสาวนัยน์ตาสะสวย กล่าวกับบุรุษหนุ่มที่ยืนอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
“ปากกับท่าทางแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสินะ แต่ว่าฉันขอเตือนแกไว้นะลุกซุริอา”
จิตสังหารของชายหนุ่มค่อยๆพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง มิติเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง “ฉันขอเตือนพวกเราไว้ ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ถ้าพวกแกยังพูดมากฉันคงจำเป็นต้องจัดการพวกแก”
“ทำไมคุณหนู สิ่งที่ฉันจะพูดมันไปกระตุ้นอะไรคุณหนูอย่างงั้นหรอคะ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ท่านพ่อของคุณหนูให้มันเหมือนจะเป็นคำสาป แต่ว่ามันก็ช่วยทำให้คุณหนูฝีมือพัฒนาขึ้นไม่ใช่หรอ “
“พอได้แล้ว “ รูปหนุ่มนัยน์ตาดุรัตติกาลกล่าวก่อนที่จะโบกมือเป็นเชิงห้าม
“ฉันว่าได้บอกเป้าหมายของนายดีกว่าถ้ามันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราทั้งสองฝ่ายเราก็คงไม่ต้องเปิดศึกกันให้เสียเวลา แต่ถ้าไม่แล้วก็คำตอบที่ฉันจะให้นายได้ก็คือไม่ มันขึ้นอยู่กับข้อเสนอของนายแล้วล่ะนิก ว่าข้อเสนอของนายในครั้งนี้มันจะ ทำให้พวกฉันเห็นด้วยกับนายหรือเปล่า”
บุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีแดงยิ้ม “ถ้าฉันบอกข้อเสนอไปพวกแกจะรับประกันได้ยังไงว่าจะไม่หักหลังฉัน”
“สัตย์สาบานคงใช้ได้ สำหรับคนทรยศอย่างพวกแกแล้วการที่พวกฉันให้แค่นี้มันก็ถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ”
“ของแบบนั้นน่ะมันเชื่อถือไม่ได้ ถึงแล้ว ต่อให้ฉันทำกับพวกแกไปยังไงพวกเราก็มีวิธีถอนคำสาปพวกนั้นออกได้อยู่ดี แถมยังถอนได้อย่างง่ายดายซะด้วย”
ชายหนุ่มกวาดตาสีดำมองบุรุษนามว่านิก พลางกัดฟันในใจ เขาไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะรู้เรื่องดีมากขนาดนี้
เดิมทีแล้วสัตย์สาบานเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของเผ่าปีศาจ ที่ผู้นำจะทำการตกลงกับผู้ที่ต้องการทำพันธะสัญญา หากผิดคำสัตย์ก็อาจจะต้องตาย อย่างน้อยก็ต้องเสียพลังเวทย์ทั้งหมดไป
อย่างไรก็ตามเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ได้มีนักเวทย์อัจฉริยะสามารถทำลายคำสาปนี้ลงไปได้
‘ทำไมมันถึงรู้เรื่องนี้ ทั้งที่มันควรที่จะเป็นความลับของเผ่าพันธุ์เราด้วยซ้ำ คนที่ออกไปจากเผ่านานแล้วอย่างมัน ทำไมถึงรู้เรื่องนี้ได้’
นิกมองท่าทางตรึกตรองของชายเบื้องหน้า “ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ สิ่งที่ฉันมาเสนอพวกแกพวกแกไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหยุดก่อนที่จะชูนิ้วขึ้นมา “ถ้าแกตกลงรับข้อเสนอพวกแกจะสามารถส่งคนออกไปจากดินแดนแห่งนี้ได้ มากที่สุด 3 คน”
เขามองท่าทางตกตะลึงของกลุ่มคน รอบ ๆ “เรื่องที่ 2 สิ่งที่พวกแกจะได้จากฉันก็คือ“
เขาเรียกลูกแก้วสีดำทมิฬออกมาไว้บนฝ่ามือ “ลูกแก้วรัตติกาลสมบัติของพวกแกที่เคยสูญหายไปเมื่อ 200 ปีก่อน หลังจากการโจมตีของผู้ทำลาย สิ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังเวทย์ให้กับพวกแก”
ทุกสายตาที่จ้องมาเป็นเชิงถามทำให้บุรุษหนุ่มนามว่านิกยิ้มมุมปาก “พวกแกไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันนำเจ้าหนี้มาได้อย่างไร สิ่งที่พวกแกควรที่จะสนใจก็คือ สิ่งของตรงหน้ากับข้อเสนอของฉัน ถ้าโอเคพวกเราจะไม่ต้องสู้กัน แต่ถ้าไม่ พวกเราคงจะต้องสังหารกันจนตายไปข้าง”