คุณอยู่ที่

บทที่ 18 ผู้อหังการ ตอนที่ 2

เขียนโดย nuttapol เมื่อ อาทิตย์, 11/27/2022 - 08:56
Share

หมวดเนื้อหา:

ใในขณะที่ชายนัยน์ตาสีแดงกำลังเข้าสู่ภวังค์อยู่นั่นเอง เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ค่อยๆย่างกายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะหันหลังกลับไปมอง
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะล้ำเส้นขนาดนี้” ใช่มาใหม่กล่าวโดยที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร
ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากเงิน แววตาที่ไม่แสดงถึงความยินดียินร้าย ท่าทางที่ดูไม่เหยี่หระกับสิ่งรอบข้าง
“ฉันก็แค่ยื่นมือช่วยเหลือเฉยๆ ไม่ได้ล้ำเส้นอะไรสักหน่อย”
“อย่าคิดอย่างนั้นจริงๆหรอฉันว่าไม่นะ สิ่งที่แกกำลังทำมันคือการล้ำเส้น แถมยังอาจจะทำลายแผนการของพวกเราก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกเป็นลูกศิษย์โปรดของอาจารย์ฉันคงจัดการแกไปนานแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเ ทว่าถ้าทางกลับไม่ได้แสดงความยินดียินร้าย เขามองตรงไปยังบุรุษอีกผู้ที่ยืนอย่างไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้า
“ฉันต้องการพบกับอาจารย์”
“ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่เห็นว่าจะไปสังเกตการณ์เผ่าปีศาจ ไหนไหนก็ไหนไหนแล้วพวกเรามาซ้อมมือกันดีไหม”
บุรุษหนุ่มนัยน์ตาส่ายหัวปฏิเสธคำชักชวน เนื่องจากหากเขากับชายตรงหน้าต่อสู้กันแล้วเรื่องราวมันคงไม่จบง่ายๆเป็นแน่ ทางที่ดีอย่าปะทะร่างกายกันเสียตั้งแต่แรกจะดีกว่า
พลังอันมหาศาลของพวกเขาทั้งสองงั้นเป็นรองแค่คนผู้เดียวนั่นก็คือชายที่ได้ครอบครองพลังทั้ง 3 สายของโลกใบนี้
เรื่องที่คนในโลกใบนี้จะสามารถใช้ได้แค่พลังเวทย์ งั้นมันเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องที่ชนชั้นนำหลอกผู้คนตั้งแต่แรก เมื่อ 400 กว่าปีก่อนได้มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งค้นพบวิธีการใช้พลังใหม่นั้นก็คือพลังลมปราณ แม้ว่าการใช้พลังได้ทั้ง 2 สายจะสร้างความได้เปรียบให้กับคนที่มีพลังทั้งสองศาสน์ ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้พลังมากมายได้สักแค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่เป็นข้อจำกัดก็ยังคงเป็นข้อจำกัด
มนุษย์ย่อมใฝ่หาความแข็งแกร่ง ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมถูกใช้ให้ไปทำสงคราม
สงครามครั้งแรกที่ถูกจารึกว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นก็คือ สงครามกับเผ่าเทพและมารเมื่อ 400 ปีก่อน มนุษย์ต้องการอนาเขตทำให้ต้องเริ่มทำสงครามกับทั้งสองเผ่าพันธุ์ ดังนั้นคนที่มีความสามารถมีพลังอันมหาศาลมากเพียงใดก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือมากเพียงนั้นมันเป็นชะตากรรมของผู้ที่ถูกเรียกว่าแข็งแกร่ง

อีกหลายปีต่อมาเริ่มเข้าสู่สงครามอีกครั้งการปะทะกันของผู้ใช้เวทเริ่มรุนแรงทำให้อาบุรุษต้องเตรียมแผนรับมือ สิ่งที่เขาทำก็คือการส่งเด็กในยุค 400 ปีมายังยุคปัจจุบัน
“นี่แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า” เสียงของชายหนุ่มในหน้ากากสีน้ำเงินปลุกให้ชายหนุ่มนัยน์ตาสีแดงหลุดออกจากภวังค์อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่มีธุระกับแกอีกแล้วล่ะ ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
เสียงชายหนุ่มที่สวมหน้ากากสีเงินก็โบกมือห้ามก่อนที่จะกล่าวขึ้น “แกยังไปไหนไม่ได้เพราะพวกเรามีภารกิจที่ต้องให้แกช่วยทำไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็
รูปหนุ่มยิ้มก่อนที่จะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “งานนี้ท่านอาจารย์ให้แกทำกับฉันมากกว่า”
บุรุษหนุ่มนัยน์ตาแดงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามทำให้ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากสีน้ำเงินยิ้มอย่างถูกใจไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากเห็นนั่นก็คือ ท่าทางสงสัยของชายตรงหน้า “พวกเรารู้ดีว่าแกคงจะให้พวกชาวต่างไม่ดีไปถ่วงเวลาพวกที่อยู่บนท้องฟ้าดังนั้นอาจารย์ให้ฉันกับแกไปจัดการ เผ่าปีศาจที่อยู่ด้านล่าง”
บุรุษหนุ่มเริ่มมีท่าทางไม่พอใจคำพูดของชายหน้ากากเงิน ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ “หมายความว่ายังไงกันแน่ยามาโตะไหนแกบอกว่าอาจารย์ลงไปสังเกตการณ์เขาปีศาจแล้วไง จะให้พวกเราไปทำไมอีก หรือว่าแกหลอกฉันไอ้จิ้งจอก“
ยามาโตะได้ยินดังนั้นเขาจึงค่อยๆถอดหน้ากากสีน้ำเงิน ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก ชายหนุ่มหน้าตาสะสวยราวกับอิสตรีจ้องชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างไม่กระพริบตา เขาไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะเอ่ยชื่อของเขาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากวันนั้นมันผ่านมากี่ปีไม่ทราบได้ที่ชายหนุ่มตรงหน้ามิได้เอ่ยนามของเขาอีก
แม้ว่าท่าทางของเขาจะไม่ได้แสดงความยินดีมากนัก เพราะว่าภายในใจของชายหนุ่มกลับตรงกันข้าม
“ในที่สุดนายก็ยอมเรียกชื่อของฉันจนได้นะ”
“อย่ามาเล่นลิ้นมีอะไรก็รีบๆบอกมาฉันยังต้องมีเรื่องที่ต้องไปทำอีกเยอะ ไม่ว่างที่จะเป็นเพื่อนเล่นกับแกหรอก ไอ้จิ้งจอก”
“ยังโกรธฉันอยู่อีกเหรอเรื่องนั้นมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะ ฉันว่านายน่าจะหายโกรธฉันได้แล้ว ไม่สิน่าจะหายโกรธพวกเราได้แล้วต้องพูดอย่างนี้ถึงจะถูกใช่ไหม”
ยามาโตะหยุดกล่าว เมื่อเขาไม่พบท่าทางวันๆของชายหนุ่มเขาจึงกล่าวต่ออีกครั้ง ”จริงอยู่ที่ตอนนั้นพวกเราทำผิดต่อนาย พวกเราก็ขอโทษมันไปแล้วฉันจะไปอาจารย์ไม่ได้ตั้งใจจะหลับนายสักหน่อย”
ชายหนุ่มยื่นมือขาวดุจหิมะจะมาจับแก้มของชายในตาโลหิต เพราะว่าเขากลับโดนสะบัดมือขึ้นมาป้อมหน้าตนเองไว้
“อย่าได้คิดจะรื้อฟื้นเรื่องราวแต่หนหลัง แกมีหน้าที่ตอบคำถามของฉันเท่านั้น เรื่องอย่างอื่นฉันไม่ต้องการที่จะคุยกับแก”
ชายหนุ่มตะโกนใส่หน้าทำให้บุรุษที่มีหน้าตาสะสวยตกตะลึงเขาพระมึงอาบก่อนที่จะก้มหน้างุดเพื่อหลบตาชายหนุ่ม
“แล้วอีกอย่างหนึ่งเรื่องที่พวกแกทำกับฉันอย่าได้คิดว่าฉันจะให้อภัยพวกแก่ต่อให้จะเป็นอาจารย์ก็ตามทีถ้าหมดประโยชน์เมื่อไหร่ฉันก็พร้อมที่จะสังขาร ไม่สิลูกชายของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน”
ชายหนุ่มนัยน์ตาดุจโลหิตหยุดก่อนที่จะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอำมหิต “การที่ฉันยังสนใจมันอยู่”
เขาชูนิ้วขึ้นก่อนที่จะกล่าว
“ ขอแลกมันเป็นบุรุษหนุ่มน่าสงสาร ส่วนอีกข้อก็คือในอนาคตมันอาจจะเป็นลูกน้องของฉันก็ได้ ถ้ามันได้รู้ความจริงว่าพวกแกทำอะไรกับมันไว้บ้าง หลังจากนั้นมันก็จะมาฆ่าพ่อแฟนฉันยังไงล่ะ”
ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายอิสตรีถอนหายใจอย่างเอือมระอากับสิ่งที่ชายนัยน์ตาแดงฉานกล่าวขึ้น เขาอยากจะพูดตอบโต้ ทว่ามันกลับจุกอยู่ในคอทำให้ชายหนุ่มหยุด
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง แค้นของฉันฉันยอมต้องหาวิธีชำระแน่นอนพวกแกล้างคอรอไว้ได้เลย แต่ว่าตอนนี้พวกเรายังมีผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอนาคตให้เสียเวลา”
“พวกเราขอโทษนะ ไม่สิถ้าถึงเวลานั้นนายต้องการฆ่าฉันรักฉันก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตฉันใช้ให้นายแต่ว่าตอนนี้”
เขาก้มหัวให้กับชายนัยน์ตาดุจโลหิตตรงหน้าก่อนที่จะกลับด้วยความจริงจังที่สุดในชีวิต “ได้โปรดช่วยพวกเราที ใช้พลังของนายช่วย”
บุรุษหนุ่มโบกมือเป็นเชิงห้ามก่อนที่จะพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องรอคำลงท้าย
“สิ่งที่ฉันทำไม่ได้เป็นการช่วยเหลือพวกแกและเจ้านั่น สิ่งที่ฉันทำคือการการช่วยเหลือตัวของฉันเองเพราะฉะนั้นอย่างที่ฉันได้พูดไปตอนนี้พวกเราต้องร่วมมือกันเพื่อทำให้เจ้าวินแข็งแกร่งขึ้นเท่าพวกเราให้เร็วที่สุด”
ทางฝั่งของชาวต่างมิติ
หลังจากที่พวกเขาได้หลุดออกมาจากอาณาเขตที่ผู้ทำลายได้สร้างไว้ทุกคนก็เข้าห้องประชุม บรรยากาศในห้องนั้นเต็มไปด้วยความกดดันผู้บริหารส่วนใหญ่ล้วนจ้องมองมายังชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอย่างไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวต่อสิ่งใด
พวกเขารู้ดีว่าพลังนั้นช่างแตกต่างกับชายหนุ่มเบื้องหน้า ทุ่มเรื่องนั้นกับไม่ใช่สิ่งที่ควรคำนึงในตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วงก็คือชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา ชาวต่างมิติรู้ดีว่าพลังเวทย์มนต์นั้นยากที่จะตอบก่อน พวกเขาใช้เวลาหลายปีก่อสร้างฐานอำนาจพลังพวกพ้อง
ตอนนี้อยู่ตรงหน้ากับที่จะให้พวกเขาไปตายโดยที่ไม่สามารถต่อสู้กับชาวต่างโลกได้ ต่อให้ไม่มีใครพูดทุกคนก็ล้วนคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือเรื่องอะไรจะยอมตาย
“ทำไมพวกเราถึงต้องไปโจมตีพวกเผ่าเทพด้วย มันเป็นความคิดของคุณคนเดียวไม่ใช่หรือไง แล้วอีกอย่างพวกเราเคยคุยกันไว้แล้วนะว่า พวกเราจะทำอะไรก็ต้องตกลงกันเสียก่อน คุณเข้าใจความหมายนี้หรือเปล่า ตามหลักการแล้ว คุณต้องขอคำอนุมัติจากพวกเราด้วย” ชายหนุ่มที่ดูมีอายุเก่าด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ผลตอบรับมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง อย่างไงก็ตามพวกเราก็สามารถมาข้างนอกไม่ต้องอยู่ในมิติแบบนั้นอีก” ชายที่ดูสุขุมในกลุ่มเปล่า
“ประเด็นมันไม่ใช่เรื่องนั้นนะคะรองหัวหน้า สิ่งที่พวกเราต้องการจริงๆโทษทีทำไมหัวหน้าถึงไม่คิดที่จะถามพวกเราก่อน” หญิงสาวหน้าตาสะสวยกราบก่อนที่จะหยุดมองบุรุษหนุ่มที่นั่งอย่างไม่ไหวติงตัวที่ให้ลูกน้องของตนเองพูดแทน
เธอกำมือแน่นก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีกสามส่วน “จริงอยู่ที่ข้อตกลงนี้มันช่างน่าเย้ายวนใจ แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรอว่าการที่พวกเราจะไปต่อสู้กับชาวต่างโลกนั้นมันยัง เร็วเกินไป “
หญิงสาวผายมือออก แล้วมองผู้คนที่มีสายตาคิดเห็นไปในทางเดียวกับตนเองหล่อนหยุดอยู่สักพักเพื่อสำรวจท่าทางของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมเมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง หล่อนจึงกล่าวขึ้น
“หากคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมตินี้ยอมเสียกำลังรบ ทรัพยากรและเครื่องมือเพื่อจะไปถ่วงเวลากับชาวสวรรค์ฉันก็ยินดีค่ะ ที่จะให้พวกฉันไปสู้ในครั้งนี้”
เธอมองยังชายหนุ่มอีกครั้ง ทว่านี้เธอรู้สึกโกรธเมื่อพบว่าชายตรงหน้ากับไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของเขาไม่ได้ลืมขึ้นลมหายใจยังเป็นปกติแถมยังค่อยๆเอนหลังเรากลับว่าจะพักผ่อนกายาที่เหนื่อยร้าลงเสียตอนนี้
เธอทุบโต๊ะแล้วตะโกนขึ้น “คุณฟังอยู่หรือเปล่าฉันกำลังจะบอกว่าเรื่องในครั้งนี้มันเป็นความคิดของคุณเพียงคนเดียวยังไงล่ะ ถ้าจะพูดให้ชัด ๆ น่ะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดนี้ตั้งแต่แรก ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณกับชายคนนั้นเคยมีความสัมพันธ์แบบไหนมาก่อน ฉันไม่รู้หรอกว่าชายคนนั้นเคยอยู่ในหน่วยงานของเราหรือเปล่า แต่ว่าหน้าที่ของคุณในตอนนั้นก็คือการถ่วงเวลาต่างหาก”
หล่อนหยุดตะโกนแล้วหันขวับไปมองคนที่เห็นด้วยเมื่อพบว่าตอนี้ คนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบหล่อนจึงพูดต่อ “การกระทำของคุณในตอนนี้บ่งชี้ว่าคุณขาดคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเราฉันขอเสนอให้เลือกหัวหน้าคนใหม่เพื่อมาควบคุมองค์กร”
“หุบปากได้แล้วฉันเบื่อที่จะฟังตลกแบบนี้เต็มทีถ้าเธอไม่หยุดพูดเธออาจจะไม่ได้พูดอีก” เสียงยินดีเห*้ยๆพร้อมกับบางสิ่งที่เจาะเข้าศีรษะของเธอดูที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว หล่อนหยุดปากก่อนที่จะค่อย ๆ เหลือบมองด้านหลัง
ปลากระป๋องมือปืนสีดำเงางามกำลังจอดหัวของหล่น ความเย็นเยือกของปากกระบอกปืนประกอบกับจิตสังหารของหญิงสาวทำให้หล่อนเริ่มมีเหงื่อออก หล่อนสูดหายใจทว่ากลับไม่กล้ากล่าวสิ่งใดต่อ หญิงสาวรู้ดีว่าหากเธอกล่าวต่อ ไม่แน่เธออาจจะได้ไปพูดต่อในนรก
ฟ้าค่อยๆลดกระบอกปืนอย่างช้าๆ “พวกเธอรู้หรือเปล่าว่า ถ้าพวกเราต้องปะทะกับชายคนนั้น ตอนนี้พวกเธอคงไม่ได้มายืนร้องโวยวายที่นี่หรอก ตามมติย้อนหลังตามข้อตกลงอย่างนั้หรอ เธอเข้าใจคำว่าสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเปล่ายายโง่”
ฟ้าหยุดพูด ก่อนที่จะค่อยๆเดินไปยังที่นั่งของเธอตอนแรกเธออยากจะต้องหาหญิงสาวตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด เธอกลับคิดขึ้นได้หากเธอข้าหญิงคนนี้แล้วมันคงไม่ดีนะกับการต้องควบคุมองค์กรในอนาคตของหัวหน้า
หญิงสาวกระชับกระบอกปืนในมือก่อนที่จะเอ่ยขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ “มีใครคิดจะพูดอะไรอีกหรือเปล่าฉันจะได้จัดการทีเดียว”
หัวหน้าของกลุ่มชาวต่างมิติลืมตาก่อนที่จะพูดขึ้น “ถ้ามีใครไม่พอใจเก่าออกมาได้เลยฉันอาจจะให้อิสระพวกคุณเกินไปหนังตอนนี้ฉันคงไม่สามารถให้อิสระพวกคุณได้อีกแล้ว ต่อแต่นี้ถ้าหากใครขัดขืนมันจะต้องตายมันไม่ใช่คำขอร้องแต่คือคำสั่ง”
เมื่อเขาพบว่าไม่มีใครโต้แย้งชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราจะบุกไปที่เกาะแห่งท้องฟ้าภายในวันนี้ตอนเย็นๆดังนั้นเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม“