คุณอยู่ที่

บทที่ 17 เริ่มเคลื่อนไหว ตอนที่ 4

เขียนโดย nuttapol เมื่อ อาทิตย์, 11/27/2022 - 08:55
Share

หมวดเนื้อหา:

ณ ผืนแผ่นดินที่ไร้ซึ่งแสงสุริ
ยาสาดส่อง ชายหนุ่มและหญิงสาวท่าทางดูสง่างานจำนวนเจ็ดคนกำลังนั่งปรึกษากันด้วยท่าทางเคร่งเครียด
ชายหนุ่มผมดำสนิดกวาดมองพักพวกที่มีท่าทางไม่ต่างกันก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ในพวกเจ้าบอกข้าว่าเจ้านั้นมันตายอยู่ในดันเจี้ยนตั้งแต่สี่ร้อยปีก่อนแล้วยังไง ทำไมมันถึงมาอยู่ในยุคนี้ได้อีก”
“ใจเย็น ๆ สิท่านซูอิรา” เสียงหญิงสาวที่ดูสะคราญ ฉมกล่าวอย่างใจเย็น พลางค่อย ๆ ขยับร่างกายเข้าไปใกล้กับชายหนุ่ม
“หุบปากไปซะลุกซุริอาแล้วไอ้คนอื่นมันหายไปไหนกันหมด”
“ข้าไม่รู้หรอกนะคะ แต่ว่าหากท่านกลัวเสียเวลาก็มาสนุกกับข้าได้นะคะ” สิ้นเสียงหญิงสาวก็นำหน้าเข้าไปไกล้ชายหนุ่ม
ปั้ง เสียงทุบโต๊ะอย่างรุนแรงทำให้สายตาของลุกซุริอาหันไปมอง “มีอะไรงั้นหรอเจ้าเด็กน้อย
เจ้าเพิ่งได้รับตำ่แหน่งได้ไม่นานมีสิตอะไรที่จะมาห้ามข้า หากเทียบกันแล้วพวกข้าตั้งหากที่เป็นผู้อาวุโสจงสงบปากสงบคำไว้ซะ”
“เฮอะ ไอ้แก่หลงยุค ยุคของพวกแกมันจบไปตั้งแต่สงครามกับพระเจ้าแล้ว ตอนนี้มันเป็นยุคของพวกเรา”
สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มแรงกดดันอันมหาสารก็พุ่งปะทะร่าง ทว่าเขากับไม่มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด “แกจะเอาใช่ไหมไอ้แก่ ฉันจะสังหารพวกแกแล้วค่อย ๆ ไปนำหัวของเจ้าเด็กพวกนั้นกลับมายังนรกก็แล้วกัน” สิ้นคำกล่าวเด็กหนุ่มก็เตรียมตัวจะเคลื่อนร่างไปปะทะร่างกายกับชายตรงหน้า ทว่าไหล่ของเขาก็ถูกจับไว้
“หยุดได้แล้วน้องของพี่” ชายหนุ่มผมสีแดงกล่าวพลางก้มหัวขอโทษพวกกลุกซุรีอา
“ข้าต้องขอโทษกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของน้องขชองข้า หากท่านตรงการสิ่งใดชดใช้โปรดบอกมาได้ หากทำได้ข้ายินดี”
สิ้นคำกล่าวลุกซุริอาก็ยิ้มขึ้น เธอมองร่างกายอันกำยำของเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนที่จะกล่าวอย่างไม่ยี่หระกับสายตาและท่าทางของคนอื่น “ข้าจะยกโทษให้เจ้า ถ้าหากเจ้ายอมมาเป็นของเล่นของข้า” หญิงสาวยิ้มอย่างงดงาม เธอขยับปากขึ้นลงอย่างช้า ๆ ทว่าในสายตาของเด็กหนุ่มนั้นกับไม่นับเป็นอะไรได้ ก่อนที่เขาจะโต้ตอบเสียงอันทรงอำนาจก็ดังขึ้น
“พอได้แล้วล่ะ เรามาเริ่มประชุมกันได้แล้ว”
สิ้นคำกล่าวทุกคนในที่แห่งนั้นก็นั่งตัวตรงเพื่อเตรียมตัวรับบันชาของบุรุษผมสีดำดวงตาสีดำที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ให้พวกเจ้าได้ฟัง แล้วหลังจากนั้นเราค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกับเด็กหนุ่มที่เป็นลูกหลานของเจ้านั่นแล้วอีกเรื่องข้าว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะขึ้นไปยังโลกเบื้องบน”
“ท่านหมายถึงดินแดนเทพยังงั้นหรือ”
ชายหนุ่มผมแดงสายหน้าปฏิเสธแล้วถามขึ้น “โลกเบื้องบนงั้นหรือ ดินแดนแห่งเทพงั้นหรือ”
เขาหันไปมองยังดินแดนที่เขาไม่เคยเห็น หากไม่เป็นเพราะผนึกของมันพวกเขาคงไม่ต้องมาอยู่ที่แห่งนี้ ชายหนุ่มหยุดก่อนที่จะตะโกนขึ้น “พวกเจ้าจงฟัง พวกเราจะขึ้นไปเหยียบย่ำดินแดนด้านบน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนของมนุษย์หรือเทพมันก็ต้องตกเป็นของพวกเรา
ระหว่างพวกวินกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ณ ที่ที่อยู่หางไกลจากการปะทะ สถานที่แห่งนี้ เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า เป็นที่ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจจะย่างกายเข้ามาได้ ไม่สิหากจะกล่าวให้ถูกคนที่อยู่ที่นี่ตั้งหากที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้
นอกเสียจากผู้ที่มีพลังเวทอันมหาสารและบุคคลที่อาศัยอยู่ สถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เกิด พวกเขามีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษษ์เกือบทุกประการ หากแต่สิ่งที่แสดงถึงความต่างนั้นก็คือปีกที่อยู่กลางหลังเพียงเท่านั้น
เมื่อก่อนที่แห่งนี้มีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งสงครามไร้ซึ่งการฆ่าฟันการสังหารหรือการข่มเหง กล่าวได้ว่าที่แห่งนี้นั้นเป็นดินแดนในอุดมคติก็ว่าได้
ทว่าความสงบนั้นกับถูกทำลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน
รุ่งเช้า ที่เต็มไปด้วยความสดใส ผู้คนกำลังนอนเล่น บ้างก็ออกไปหาอาหารเพื่อมาเลี้ยงครอบครัว วันนี้ก็เหมือนทุก ๆ วัน ผู้คนล้วนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทว่าจู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนปริศนาได้ขึ้นมาบนดินแดนแห่งเทพ พวกมันมีวิทยาการอันทันสมัย
หลังจากที่พวกมันเข้ามาเหยียบพื้นดิน พวกมันก็สังหารชาวบ้านอย่างไม่ปราณี การโจมตีที่ไม่คาดคิดทำให้พวกเขาไม่ได้ป้องกันตัว พวกชาวบ้านล้วนล้มตายราวใบไม้ร่วง พวกมันตรงไปยังพระราชวังของราชาแล้วสังหารราชาและขุนนางจนหมด หลังจากนั้นพวกมันก็หายไป
ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาต้องเตรียมตัวฝึกทหารเพื่อไว้ตอบโต้กับศัตรูที่อาจจะปรากฏขึ้นได้ทุกเมื่อ
ณ ราชวังอันหรูหราที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ ชายหนุ่มที่ดูท่าทางมีสง่าราสีกำลังนั่งคำนึงถึงเรื่องที่ผ่านมา ทันใดนั้นเองเสียงประตูก็เปิดออก เขามองหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยดวงตาสีอำพันจับจ้องมองยังชายหนุ่มที่อยู่บนบันลัง
“ยินดีต้อนรับกลับนะเฮสเทีย”
“ข้อมูลที่ท่านต้องการข้าได้นำมาให้ท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้ามิได้ให้เจ้าไปทำภารกิจในครั้งนี้”
“แต่ว่าข้า”
ชายหนุ่มโบกมือก่อนที่จะยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “แต่ว่าก็ไม่เป็นไรในเมื่อเจ้าได้ไปทำภารกิจครั้งนี้แล้วนำข้อมูลกับมาให้ข้า พวกเราก็จะนำข้อมูลที่เจ้าหามาไปใช้ให้คุ้มข้าไม่ให้เจ้าต้องเสียแรงฟีหรอก แล้วอีกอย่างพลังอันมหาสารของชายผู้นั้นก็เป็นสิ่งที่เราจะประมาทไม่ได้”
เขาหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก่อนที่จะกล่าวขึ้น “เจ้าจงไปตามทุกคนให้มาที่นี่ซะอธีน่า”
อธีน่าก้มหัวเป็นเชิงรับคำสั่งก่อนที่จะเคลื่อนร่างหายออกไป
หลังจากที่อธีน่าได้หายออกไปชายหนุ่มก็ทอดสายตามองไปยังผนึกที่กักขังพวกเขาไว้ยังที่แห่งนี้ หากไม่มีเวทอาณาเขตที่ยิ่งไหญ่ขนาดนี้พวกเขาคงลงไปสังหารผู้ทำลายอย่างง่ายได้ ‘มันคงถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะลงไปยังโลกเบื้องร่าง เพื่อไปจัดการกับศตัตรูของพวกเรา’
ทางฝ่างของพวกอะคา
“หมายความว่าไงทำไมเรื่องราวทั้งหมดมันถึงเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสี่ร้อยปีก่อน” เมเปิ้ลโวยวายขึ้น
อะคามองหน้าของเมเปิ้ลและอารุกะ “มันไม่ได้เกี่ยวกับเมื่อสี่ร้อยปีก่อนเพียงอย่างเดียว แต่ว่ายังเกียวกับเผ่าพันธุ์ที่ควบคุมโลกนี้ไว้อีกด้วย ดังนั้นฉันรีบส่งให้ลูก ๆ ของเราไปยังวิทาเรียยังไงล่ะ”
คาลอสยกสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ก่อนที่จะถามอะคา “ข้านึกว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับพวกต่างมิติอย่างเดียวเสียออก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกี่ยวกับเจ้าพวกเผ่าเทพกับมารด้วย”
แฟนท่อมค่อย ๆ ยกชาขึ้นมาดื่มก่อนที่จะกล่าวขึ้น “เผ่าพันธุ์พวกนั้นไม่ได้ถูกผนึกไวทในต่างมิติหรอกหรอ”
อะคาส่ายหน้า “ถ้าจะพูดให้ถูก เทพกับมารถูกกักขังไว้ในอาณาเขตพิเศษของบุรุษหนุ่มคนหนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวกเราก่อนที่จะสร้างโรงเรียนวิทาเรีย แต่ว่าอาณาเขตนั้นก็เริ่มถูกทำลายอย่างช้า ๆ จากคนผู้หนึ่ง”
เขาหยุดก่อนที่จะกล่าว “บุรุษที่มาจากต่างโลกที่อยู่ในตระกูลของเผ่าเทพอสูร ลักษณะของเผ่าพันธุ์จะมีดวงตาสีแดงดุจโลหิตเส้นผมสีดำเงางามพลังเวทอันมหาสารราวกับเป็นเทพปีศาจที่ย่างกายลงมายังพื้นพิภพ เดิมทีฉันเคยคิดว่าวินเป็นลูกของอาจารย์ เพราะทั้งกลิ่นไอและพลังก็ช่างเหมือนกับอาจารย์ แต่วันที่ฉันได้เจอกับอาจารย์ ท่านบอกฉันว่าเด็กคนนั้นเป็น”
“ตอนที่แกไปหาข้าในดันเจี้ยนสินะ”
อะคาพยักหน้ารับ “เด็กคนนี้เป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ”
“ใช่” เมเปิ้ลพูดพลางทรับน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกมา
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่บอกความจริงให้วินรู้ล่ะครับว่าเขาไม่ใช่คนจากต่างโลก” แฟนท่อมถามอะคา
อะคามีท่าทางลำบากใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับคนเบื้องหน้า ก่อนที่ฮารุกะจะกล่าวขึ้น
“ฉันเข้าใจอะคานะ พวกฉันก็ไม่ได้บอกพวกคุโระกับชิโระว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกของฉัน”
สิ้นคำกล่าวพวกเขาก็หยุดมองหน้ากันไปมา ก่อนที่จะเปลี่ยนประเดณในการสนธนาในทันที
ในอาณาเขตต่างมิติที่พวกต่างโลกได้ถูกผนึกอยู่ ในห้องประชุมที่ ชายหนุ่มจำนวนญี่สิบ คนนั่งจ้องมองกันด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด ก่อนที่เด็กหนุ่มผมดำจะกล่าวขึ้น
“ทำไมเจ้านั่นถึงยังไม่ตายล่ะ ถ้าฉันคิดไม่ผิดพวกเจ้านั่นน่าจะตายอยู่ในดันเจี้ยนหรือไม่ก็ต้องอยู่ในยุคที่เผ่าเทพยังไม่ถูกไล่ล่าไม่ใช่หรือไง”
อาเล็กซ์มองไปยังฟ้าและอายะกับเมอีกครั้งก่อนที่ชายหนุ่มจำกล่าวขึ้น “อันที่จริงพวกเราก็คิดว่าวินคงรอดมาได้แหละ แต่ว่าก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้”
ฟ้ากล่าวเสริม “ตามประวัติศาสตร์นะวินจะกลับมายังช่วงเวลาเดิมได้นั้นต้องใช้เวลาประมาณสองปี แต่ว่าตั้งแต่ที่พวกเราไปแซกแซงปห่วงเวลาประวัติศาสตร์ก็เริ่มแปรปรวนทำให้พวกเราไม่สามารถคลาดคเนได้”
“ปัญหานะไม่ได้อยู่ที่วินคนเดียวหรอกค่ะ แต่ปัญหาอยู่ที่ชายผมดำมากกว่า ทั้งพลังท่าทางและความรู้ของชายคนนั้นมันสุดยอดมาก” อายะพูดพลางมองไปยังภาพการต่อสู้ของพวกเธอที่ได้จากความทรงจำ
ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดไม่ตก ชายหนุ่มคนหนึ่งก็กล่าวอย่างช้า ๆ “ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่นา เรื่องที่ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนฉันก็คิดไว้อยู่แล้ว เรื่องของชายคนนั้นฉันก็รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องตื่นตูมไปหรอกน่า เรื่องที่เราควรที่จะต้องทำในตอนนี้ก็คือการทำลายอณาเขตเวทของผู้ทำลายมากกว่า แล้วอีกเรื่อง”
ชายหนุ่มหยุดแล้วหันมามองยังเมและอายะ “พวกเธอทั้งสองคนต้องรับผิดชอบนะ”
เขายกนิ้วขึ้นมาพลางกล่าว “เรื่องแรกการที่พวกเธอใช้เครื่องโอนย้ายวิญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องที่สองก็คือพวกเธอทั้งสองคนทำให้ลูกน้องในหน่วยตายจนหมด “
ชายหนุ่มค่อยๆ ปล่อยจิตสังหาร พลังอันมหาสารของชายหนุ่มทำให้กลุ่มคนที่อยู่ในห้องต้องกืนนำลาย บ้างก็มีสีหน้าหวาดหวั่น บางคนก็ตัวสั่น “ดังนั้นฉันคงจะต้องลงโทษพวกเธอทั้งสองคน”
เขาหยุดคิดก่อนที่จะกล่าว “บทลงโทษก็คือ”